วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทําไม ทําไม? คําถามที่ติดอยู่ในใจ เกี่ยวกับการทําบุญ

สุโข  ปุญญสฺส  อุจฺจโย     การสั่งสมบุญนําสุขมาให้

ทําไมจึงต้องมีการบอกบุญ
         เพราะคุณทั้งหลายสําเร็จด้วยการขนขวายในทาง  การขนขวายบอกให้คนอื่นทําบุญ  แม้ว่าตนเองจะไม่ได้ทําก็ตาม  ถือเป็นการขนขวายให้ทําบุญของเขาสําเร็จ  ผู้บอกก็ได้บุญเพราะถือเป็นการชวนเขาทําความดีแต่ก็ได้บุญตามที่เราขนขวายเท่านั้น  เพราะเราไม่ได้รวมบริจาควัตถุด้วย 

ทําไมจึงต้องอนุโมทนาบุญ 
         เพราะบุญทั้งหลายสําเร็จด้วยการกระทําอนุโมทนา  หมายถึง  เมื่อเห็นคนอื่นทําบุญทํากุศลก็กล่าวคําว่า  "สาธุ  ขอให้บุญกุศลนั้นสําเร็จ ขออนุโมทนาด้วย"  ก็จะได้บุญไปด้วย  เพราะเกิดความสุขกับการทําบุญของคนอื่น  การได้สรรเสิญ  ได้อนุโมทนา  ได้ยกย่องคนอื่นที่ทําความดีจิตใจผู้อนุโมทนาก็จะพลอยมีความสุข

ทําไมต้องกรวดนํ้า
        ท่าน ว.วชิรเมธี  กล่าวว่า  การกรวดนํ้าเป็นสัญาลักษณ์ของการมอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแก่คนใดคนหนึ่ง "  เช่น  ในสมัยพุทธกาล  พระเจ้าพิมพิสารทําบุญเลี้ยงพระแล้วทรงหลั่ง ทักษิโณทก  (กรวดนํ้า) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการ"อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล " ให้แก่พระญาติที่ล่วงลับของพระองค์นําแต่นั้นเป็นต้นมา  เวลาทําบุญจึงนิยมใช้การกรวดนํ้าเป็นสัญลักษณ์แทนการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล 
        ความจริงในการทําบุญจะไม่กรวดนํ้าก็ได้แต่ให้ใช้วิธีตั้งจิตอธิฐานแบ่งส่วนบุญกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ หรือ สรรพสัตว์ก็ได้ผลเหมือนกัน 

เวลาไปวัดจําเป็นไหมที่ตั้งใส่ซองผ้าป่า  หรือกระฐิน
        พระราชวิจิตรปฏิภาน  (เจ้าคุณพิพิธ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส สวัดสุทัศนเทพวราราม  ให้ข้อคิดในเรื่องนี้ไว้ว่า 
         "การทําบุญในลักษณะนี้ โดยมากจะเป็นการทําบุญกับสถานที่  ฉะนั้น  จึงไม่ได้มีบ่อย ๆ  และมีเป็นวาระเราทุกคนควรทําความดีกว่าจะต้องเสียใจภายหลัง  เมื่อโอกาสหมดไป  ให้คิดเสียว่านําเงินมาทําบุญดีกว่า  นําไปซื้อกระเป๋าหนังสัตว์เดรัจฉาน  ซื้อหินเจียรนัยมาสะสมไว้แล้วไม่ได้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง "  และเวลามีใครให้ชอบบอกบุญมาก็ให้คิดว่าเราอาจเคยบอกบุญกับเขา  เขาก็บอกบุญตอบกลับมากับเราเป็นการแสดงความปรารถณาดีต่อกันตามคําโบราณที่ว่า  "ทําบุญร่วมชาติตักบัตรร่วมขัน " เพราะเขารักเราจึงอยากทําบุญร่วมกับเรา 

ยิ่งทําบุญมากก็ยิ่งรวยมาก..จริงไหม
        ในเรื่องนี้พระไพศาล  วิสาโล  กล่าวว่า  แม้การทําบุญจะเป็นสิ่งที่ดีและให้ผลดีแต่ไม่จําเป็นว่าจะต้องทําให้ผู้ทํานั้นรํารวยเสมอไป  ผลขึ้นอยู่กับว่า  เราทําบุญหรือทําความดีอย่างไรด้วย  เช่น  ถ้ามีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น  ละเว้น  ปานาติบาต  จะส่งผลให้มีอายุยืนถ้าไม่ชอบเบียดเบียนทําร้ายสัตว์จะส่งผลให้มีสุขภาพดี  ส่วนความรํ่ารวยนั้นเป็นอนิสงส์  ที่เกิดจากการให้ทาน
        อย่างไรก็ตาม  ความรํ่ารวยที่เกิดจากการให้ทานนั้นตามความในพุทธพจน์  พระพุทธองค์ตรัสว่า  จะไม่เกิดขึ้นในชาตินี้แต่เป็นชาติหน้าและจําเพราะว่าชาติหน้านั้นต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วย  ทั้งนี้อนิสงส์ขอบุญก็จะต้องสอดคล้องลักษณะของการทําบุญด้วย  ไม่ใช่ทําบุญอะไรก็ตามแล้วจะทําให้รวยได้และไม่ใช่ว่าทําครั้งเดียวจะเกิดอนิสงส์ดังกล่าว  แต่ต้องทําเป็นประจําสมํ่าเสมอ  หรือ "ถือปฏิบัตพรั่งพร้อมถึงที่"
         ความคิดที่ว่า  "ยิ่งทําบุญมากก็ยิ่งรวยมาก "  อาจทําให้เกิดความเข้าใจผิดว่า   ถ้าอยากรวยก็ทําบุญอย่างเดียวแล้วกัน  ไม่ต้องขยันหมั่นเพียรในการทํางานก็ได้  การคิดแบบนี้สวนทางกับคําสอนของพระพุทธองค์  เพราะผลต้องสอดคล้องกับเหตุด้วย  อยากรวยก็ต้องขยัน  ซื่อสัตย์  อดทน  คบเพื่อนดี  และมีศีล  หาไม่แล้ว  แม้หมั่นทําบุญก็ทําให้รวยไม่ได้  หรือถึงรวยก็แค่ชั่วขณะเท่านั้น
เรื่องน่ารู้ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

คําที่ควรใช้ในการสนทนากับพระ


เรียกแทนตัวเองว่า           โยม + ชื่อเรา  หรือ โยมเฉย ๆ 
เรียกแทนพระสงฆ์ว่า        หลวงพ่อ  หลวงพี่  หลวงตา  หรือหลวงปู่  ตามความเหมาะสม

สิ่งของที่พระสงฆ์ห้ามจับต้อง  เรียกว่า"วัตถุอนามาส"  มีดังนี้ 
  1.  ผู้หญิง  รวมทั้วเครื่องแต่งกายหญิง  รูปภ่าพหญิง  รูปปั้นหญิงทุกชนิด
  2.  รัตนะ  10  ประการ  คือัญมณีหรือแร่ธาติที่มีค่า  เช่น  เงิน  ทง  แก้วมุกดา  แก้วมณี  แก้วประพาฬ  ทับทิม  บุษราคัม  สังข์ (ที่เลื่ยมทอง)  ศิลา  เช่น  หยกและโมรา
  3.  อาวุธที่สามารถทําลายชีวิตได้
  4.  เครื่องดักสัตว์บก  สัตว์นํ้าทุกชนิด
  5.  เครื่องดนตรีทุกชนิด
  6.  ข้าวเปลือก
  7.  ผลไม้ที่อยู่บนต้น   
  
ที่มา...Secret

0 ความคิดเห็น:

:)) ;)) ;;) :D ;) :p :(( :) :( :X =(( :-o :-/ :-* :| 8-} :)] ~x( :-t b-( :-L x( =))

แสดงความคิดเห็น