หลังจากที่เรากลับไปทําธุระที่บ้านเกิดเสร็จเรียบร้อยเราจึงเดินทางกลับสมุย เพื่อกลับมาทํามาหากินต่อ ก่อนขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะหาหนังสืออ่านสักเล่ม หนังสือที่เราอ่านเป็นประจําและยอมเสียเงินซื้อ มีไม่กี่เล่ม my home, คู่สร้างคู่สม และก็เล่มนี้.. ซีเคร็ต ซึ่งฉบับที่ 90 นี้สะดุดตามาก เพราะฉบับนี้ได้อัญเชิญพระชายาลักษณ์สมเด็จพระเทพฯ ของพวกเราชาวไทย รู้สึกเป็นเกียรติและปลาบปลื้มมาก เพราะเราเองรักท่านมาก เนื้อหาเมื่ออ่านดูแล้วยิ่งรู้สึกปลาบปลื้มใจมากขึ้นไปใหญ่ จึงทนไม่ไหว อยากแชร์ให้เพื่อนพ้องชาวไทย ได้อ่าน ท่านมีมุมน่ารัก ๆ หลายอย่าง ลองอ่านดูนะคะเพื่อน ๆ แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่าอยากให้เพื่อน ๆ ซื้อหนังสือมาเก็บไ้ว้เป็นเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง อีกอย่างหนึ่งหนังสือเล่มนี้ถ้าใครไม่เคยได้อ่านซีเคร็ต อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองซื้ออ่านจะดีกว่านะ เพราะเขามีเรื่องราวดี ๆ มากมายมานําเสนอเราตลอด เราการันตี เพราะ ซื้ออ่านแทบจะทุกเล่มเลยก็ว่าได้ รู้สึกว่ามันใช่เลยล่ะ เป็นหนังสือที่ดีมากมาย ราคาก็ไม่แพง 55 บาท ปักษ์ 90 นี้เป็นปักษ์ล่าสุด ยิ่งไม่ควรพลาดนะคะ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สองในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลยโสภาคย์ ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ เป็นผู้ถวายการประสูติ และมีพระนามที่บรรดาข้าราชการบริพารเรียกกันทั่วไปว่า "ทูลกระหม่อมน้อย"
ภาค 1 : เจ้าหญิงนักพัฒนา
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ภาพหนึ่งซึ่งประชาชนชาวไทยต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือ ภาพที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ โดยเฉพาะในส่วนของงานพัฒนาในด้านต่าง ๆ
ภายหลังจากที่ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปในชนบทอันห่างไกลและทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ยังเยาว์พระชันษา และได้แรงบันดาลพระทัยจากการที่ทอดพระเนตรเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและทรงทราบปัญหาต่าง ๆ อาทิ ขาดบริการสาธารณสุขและการศึกษาที่ดี ด้วยเหตุนี้จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเด็ก แยาวชน และประชาชนที่ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารเหล่านี้ และทรงเริ่มงานพัฒนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น โดยเน้นหนักถึงองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น โดยเน้นหนักถึงองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตใน 4 ด้านหลัก ๆ คือ ด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษา ด้านอาชีพ และด้านสิ่งแวดล้อม ทางงานโครงการตามพระราชดําริต่าง ๆ มากมาย
และนี่คือเหตุปัจจัยสําคัญที่ทําให้พระองค์ทรงเป็นเทพธิดาในหัวใจของปรชาชนชาวไทยเสมอมา
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากบทบาทการเป็นเจ้าหญิงนักพัฒนาแล้ว สมเด็จพระเทพฯ ยังมีอีกหลายด้านหลายมุม ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผ้คนเสมอมา ทั้งในแง่ของพระอัจฉริยภาพ พระปรีชาสามารถ หรือกระทั่งความ "น่ารัก" ของพระองค์ที่ประทับในความทรงจําของคนไทยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของนักประัพันธ์ นักดนตรี หรือว่าครู
ภาค 2 : เจ้าหญิงนักประพันธ์
นับตั้งแต่ทรงเป็นเจ้าหญิงพระองค์น้อย สมเด็จพระองค์น้อย สมเด็จพระเทพฯ โปรดการทรงพระอักษรเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีพระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์บทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองเป็นอย่างสูง
จุดเริ่มต้นในบรรณพิภพของสมเด็จพระเทพฯ เกิดขึ้นนับตั้งแต่พระชนมายุได้เพียง 12 พรรษา โดยเริ่มงานพระรานิพนธฺ์เหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์แพร่หลายในหนังสือหลายต่อหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอยุธยา, เจ้าครอกวัดโพธิ์, ศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร, พุทธศาสนสุภาษิตคําโคลง ที่ทรงถอดมาจากภาษาบาลี รวมถึงหนังสือพระราชนิพนธ์ซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชมมายาวนานอย่าง กษัตริยานุสรณ์ ซึ่งทรงประพันธ์ขึ้นเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี พ.ศ. 2516 โดยในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง 18 พรรษาเท่านั้น
ทั้งนี้ พระราชนิพนธ์บทกวีที่นํามาเสนอเป็นบางส่วนนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ได้อย่างชัดเจน
"รักชาติยอมสละแม้ ชีวี
รักเกียรติจงเจตน์พลี ชีพได้
รักราชมุ่งภักดี รองบาท
รักศาสน์ราญเศิกไส้ เพื่อเกื้อพระศาสนา"
นับตั้งแต่นั้นมา งานพระราชนิพนธ์อีกจํานวนนับร้อยเล่มต่างทยอยพิมพ์อย่างต่อเนื่อง และได้รับการยกย่องในแง่ของการที่ทรงบรรยายสถานที่และสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเห็นภาพ ด้วภาษาที่รื่นไหลชวนอ่าน และแฝงไว้ซึ่งพระอารมณ์ขัน โดยไม่าดเนื้อหาสาระที่สําคัญ ๆ เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นพระราชนิพนธ์เชิงวิชาการอย่าง การใช้ระบบสนทศภูมิศาสตร์เพื่อการพัฒนาพื้นที่เกษตร ในอําเภอพัฒนานิคมและชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี, การพัฒนานวัตกรรมเสริมทัษะการเรียนการสอนภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พระราชนิพนธ์บทกวี เช่น กาลเวลาที่ผ่านเลย พระราชนิพนธ์แปลเรื่องเยือนสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ มนต์รักทะเลใต้ (สิงคโปร์/ปาปัวนิวกินี/ราชอาณาจักรตองกา/ เกาะคุก/ หมู่เกาฟิจิ / หมู่เกาะโซโลมอน ) มุ่งไกลในรอยทราย (จีน) ฯลฯตัวอย่างที่ชัดเจนของพระราชนิพนธ์ที่ถึงพร้อมในคุณสมบัติเหล่านี้คือ พระราชนิพนธ์ที่ถึงพร้อมในคุณสมบัติเหล่านี้ คือ พระราชนิพนธ์เรื่องแม่ ซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า
"...พอคํ่าลงเราก็ขึ้นมารับประทานอาหาร ตอนอาหารนี้ถ้าว่างพระราชกิจ สมเด็จแม่มักจะอยู่ด้วย ประการแรก ท่านจะได้ดูว่ารับประทานที่มีคุณค่าทางอาหารพอหรือไม่ ประการที่สอง ดูมารยาทโต๊ะ และประการที่สาม เป็นข้อที่พี่น้องทุกคนรวมทั้งพี่เลี้ยงชอบที่สุด คือท่านจะเลือกหนังสือดี ๆ สนุก ๆ มาเล่าให้ฟัง หนังสือที่ท่านเอามาเล่าบางทีก็เป็นนิทานธรรมดา ๆ หรือนิทานเรื่องชาดกในพุทธศาสนา บางทีก็เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสําคัญ และความรู้รอบตัวอื่น ๆ บางครั้งเป็นข่างจากหนังสือพิพ์รายสับดาห์
ตอนหลัง ๆ นี้ท่านชอบอ่านเป็นภาษาอังกฤษให้เราหัดฟังภาษาด้วย นาน ๆ ทีก็อาจจะมีการถามปัญหาทวนความจํา ถ้าตอบถูกมักมีรางวัลเงินสด 1 บาท เป็นที่ขบขันกันในครอบครัวว่า "หนังสือธรรมดา ๆ ที่น่าเบื่อที่สุดในโลก พอสมเด็จแม่เล่ามันสนุกตื่นเต้นมีรสชาติขึ้นมาทันที"
"ท่านจะเน้นระบายสี หยิบยกจับความที่น่าสนใจขึ้นมาเล่า (ทูลหม่อมพ่อยังโปรดฟัง) ทําให้จําง่ายไม่ต้องท่อง เรื่องนี้มีความลับอย่างหนึ่ง (ที่เปิดเผยได้แล้ว) ว่า บางทีข้าพเจ้าขี้เกียจอ่านหนังสือเพราะเรียนเยอะแยะ ก็อาศัยจําเอาจากที่สมเด็จแม่เล่า นํามาวิจารณ์เพิ่่มเติม แล้วใช้ตอบข้อสอบ หรือเขียนรายงานส่งครูสบาย ๆ
"เรื่องนิทานองสมเด็จแม่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้น คือเรื่องผี แต่ก่อนนี้พี่เลี้ยงไม่ยอมเล่าเรื่องผี พอไปโรงเรียนเพื่อน ๆ ก็มาหลอก สมเด็จแม่ท่านว่า ถ้ามานั่งอธิบายว่าผีไม่มีจ้างก็ไม่เชื่อ ท่านจึงสําทับโดยการเล่าเรื่องผีที่น่ากลัวกว่าให้เข็ด..."
นอกจากนี้ก็มีบทกลอนที่พระราชนิพนธ์เอาไว้ขณะพระชนมายุ 10 พรรษา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทํานองในปี พ.ศ. 2537 จนกลายเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ "รัก" ตามมาด้วยเพลงพระราชนิพนธ์ " ไทยดําเนินดอย" "เต่ากินผักบุ้ง" หรือ "จีนเด็ดดอกไม้ เถา" ที่พระราชนิพนธ์บทร้องสําหรับเพลงไทยเดิมเหล่านี้ได้อย่างไพเราะ
ไม่เพียงเท่านั้น พระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์บทกลอนนับตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ นอกจากจะได้รับการเผยแพร่ในหนังสือต่าง ๆ แล้ว ยังมีการต่อยอดออกไปสู่งานศิลป์อีกแขนงหนึ่งด้วย นั่นคือ งานดนตรี อาทิ โคลงสี่สุภาพที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอาหารที่ทําจากไข่ ซึ่งพระราชนิพนธ์เอาไว้เมื่อปี พ.ศ. 2518 อีก 20 ปีต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทํานองเพลงจนออกมาเป็นเพลง "เมณูไข่"
อย่างไรก็ดี อาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชนิพนธ์ประเภทไหน รูปแบบใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ควรค่าแก่การอ่านทั้งเพื่อการศึกษาและการหาความบันเทิงทั้งสิ้น
ภาค 3 : เจ้าหญิงนักดนตรี
นอกเหนือจากพระอัจฉริยะภาพทางด้านอักษรศาสตร์แล้ว อีกหนึ่งศาสตร์ที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงรักและมีความชํานาญเป็นอย่างมาก คืองานศิลปวัฒนธรรมด้านดนตรีไทย พระองค์สามารถทรงเครื่องดนตรีไทยได้ทุกชนิดแต่ที่ทรงอยู่เป็นประจําคือ ซอ ฆ้องวง ระนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระนาดเอก
แรกทีเีดียวสมเด็จพระเทพฯ ทรงรู้สึกเกรงกลัวการทรงดนตรีไทยอยู่นานสืบเนื่องจากเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์เคยพยายามเข้าไปตีระนาดเล่น หากโดนห้ามเอาไว้และเตือนว่าเครื่องดนตรีไทยนั้นเป็นของสูง เป็นของครูบาอาจารย์ จึงไม่สามารถทําเล่น ๆ เหมือนเช่นเครื่องดนตรีสากลได้ เพราะอาจถูกครูบันดาลให้มีอันเป็นไป พระองค์จึงมิได้ทรงเครื่องดนตรีไทยอีกถึงแม้ว่าจะทรงอยากเรียนเป็นอย่างยิ่งก็ตาม
ครั้นเวลาผ่านไปหลายปี พระองค์จึงทรงมีโอกาสเริ่มหัดดนตรีไทยในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 โรงเรียนจิตลดา โดยทรงเลือกซอด้วง เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก ด้วยทรงมีซออยู่แล้ว ก่อนที่จะทรงเริ่มเรียนระนาดเอกอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ. 2528 หลังจากที่ได้เสด็จฯ เพื่อทรงดนตรีไทย ณ บ้านปลายเนิน ซึ่งเป็นวังของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ โดยมีครู สิริชัยชาญ ฟักจํารูญเป็นพระอาจารย์
ช่วงนั้น ทุกวันภายหลังจากตื่นบรรทมแล้ว พระองค์ทรงทําการบ้านด้วยการไล่ระนาดทุกเช้า จนกระทั่งปีถัดมาพระองค์จึงทรงบรรเลงระนาดเอกร่วมกับครูอาวุโสของวงการดนตรีไทยหลายท่านต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก ในงานดนตรีไทยอุดมศึกษาครั้งที่ 17 ณ มหาลัยวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเพลงที่ทรงบรรเลง คือ เพลง นกขมิ้น (เถา)
นับจากนั้นมา การทรงดนตรีไทยก็กลายเป็นงานอดิเรกที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงโปรดปราณเรื่อยมา และได้ทรงดนตรีไทยในวาระต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ งานปิดภาคเรียนของโรงเรียน งานวันคืนสู่เหย้าโรงเรียนจิตรลดา ฯลฯ จวบจนทรงเ้ข้าศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระองค์ก็ทรงเข้าร่วมชมรมดนตรีไทยของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาัลัยและคณะอักษรศาสตร์ โดยทรงซอด้วงเป็นหลัก และต่อมาก็ทรงหัดเล่นเครื่องดนตรีไทยชิ้นอื่นอีกหลายชิ้น
นอกจากดนตรีไทยแล้ว พระองค์ยังโปรดดนตรีสากลด้วย โดยทรงเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่พระชนมายุ 10 พรรษา แต่ทรงเลิกเรียนหลังจากนั้น 2 ปี ก่อนที่จะทรงฝึกเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่งเป่าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสามารถทรงทรัมเป็ดนําวงดุริยางค์ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทยได้อย่างน่าชื่นชม นอกจากนั้นยังเคยทรงระนาดฝรั่งนําวงดุริยางค์ในวงกว้าง
ด้วยความรักในด้านการทรงดนตรีนี้เอง ทําให้พระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริม อนุรักษ์ และทรงให้การอุปถัมภ์งานด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศผ่านทางพระราชกรณียกิจจํานวนมาก จนได้รับการถวายพระสมัญญาว่า " เอกอัครราชูปถ้มภกมรดกวัฒนธรรมไทย" และ " วิศิษฏศิลปิน" ในเวลาต่อมา
ภาค 4 : เจ้าหญิงนักเดินทาง
ตลอดระยะเวลาเกือบทั้งพระชนมชีพ สมเด็จพระเทพฯ ได้เสด็จประพาสประเทศต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ครั้งแรกเมื่อมีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา โดยในครั้งนั้นเป็นการตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดําเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปอีก 13 ประเทศ เป็นเวลาทั้งสิ้น 7 เดือนเศษ
นับจากนั้นมาชีวิตของพระองค์ก็ทรงผูกพันอยู่กับการเดินทางมาโดยตลอด คงไม่เกินเลยหากจะมีการจํากัดความให้กับสมเด็จพระเทพฯว่าเป็น "เจ้าหญิงนักเดินทาง"
ทุกครั้งที่สมเด็จพระเทพฯเสด็จฯ เยือนต่างประเทศ พระอิริยาบถหนึ่งซึ่งเป็นที่จดจําและได้รับการบันทึกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์จํานวนมากคือ พระอิริยาบถที่ทรงสะพายกล้องถ่ายรูป ในขณะที่พระหัตถ์ทั้งสองประคองถือสมุดบันทึกกับปากกาอยู่ตลอดเวลา โดยส่วนหนึ่งได้รับการถ่ายทอดลงในงานพระราชนิพนธ์หลายสิบเรื่องจากหลายสิบการเดินทาง อาทิ การเสด็จฯ เยือนประเทศฝรั่งเศษ, ข้าวไทยไปญี่ปุ่น, เยือนถิ่นอินเดียนแดงเกล็ดหิมะในสายหมอก, ยํ่าแดนมังกร ฯลฯ
งานพระราชนิพนธ์เหล่านี้ ต่อมาได้กลายเป็นเสมือนบทบันทึกทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าทั้งทางด้านข้อมูลความรู้ทางวิชาการ และความงดงามในแง่ของงานประพันธ์ พร้อมทั้งสอดแทรกแง่มุมที่หาอ่านได้ยากจากหนังสือบันทึกการ่องเที่ยวเล่มอื่น ๆ อย่างเช่นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมการกินอาหารแปลก ๆ ของชาวจีนในพระราชนิพนธ์ ยํ่าแดนมังกร
" สิ่งที่รับประทานกับหมาดํา เป็นซุปที่เขียนเอาไว้ในเมณูว่า "ซุปไก่ตุ๋นในหม้อ" ต้องอธิบายนิดหน่อยว่าหม้ออันนี้เป็นหม้อพิเศษ ซึ่งใช้ทําไก่อัด (ทั้งตัว) ใคร ๆ เช่น ป้าไล ตุ๋ย ต่างซื้อกันใหญ่ ท่านผู้ว่าฯ กระซิบว่า นี่ไม่ใช่ไก่ แต่เป็นตุ๊กแก ข้าพเจ้าเป็นคนสําคัญก็ได้กินมากหน่อย คนอื่น ๆ ได้กินแต่นํ้าซุปหรือเนื้อไก่เท่านั้นแหล่ะ ไม่ใช่ตุ๊กแกจริง ๆ ว่าแล้วก็หันไปสั่งลูกน้องให้เลือกมาเฉพาะตรงที่เป็นตุ๊กแกมาให้ข้าพเจ้าถึงสองถ้วย เนื้อตุ๊กแกในซุปนี้ไม่ค่อยน่าเกลียด เขาลอกหนังออกหมดแล้วหั่นเป็นท่อน ๆ ที่มีขาติด เขาก็ตัดออก ท่านผู้ว่าฯ อธิบายวิธีรับประทานว่า กระดูกตุ๊กแกก็รับประทานได้ แต่ขอให้เครียวละเอียด ๆ ให้รับประทานมาก ๆ เพราะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยระบบประสาทและแก้หืด.."
ทั้งหมดบันทึกไว้อย่างมีชีวิตชีวา และถ่ายทอดออกมาด้วยความรักในการเดินทางสมดังเช่นที่ คุณวิลาศ มณีวัต นักเขียนผู้ล่วงลับเคยระบุไว้ว่า พระองค์นั้น "ได้เสด็จประพาสประเทศต่าง ๆ มาแล้วมากต่อมาก บางประเทศได้เสด็จฯ ไปหลายครั้ง จนมีบางคนกล่าวว่าทรงมีวิญญาณของมาร์โค โปโล"
ภาค 5 : ลูกสาวของพ่อ
ท่ามกลางความสามารถและบทบาทอันหลากหลายของพระองค์ บทบาทหนึ่่งซึ่่งเป็นที่ประทับใจประชาชนคนไทยมาโดยตลอดคือ บทบาทของความเป็นพระราชธิดาที่น่ารัก ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เห็นปรากฏอยู่ในพระบรมฉายาลักษณ์ของพระราชวงศ์หรือภาพจากการตามเสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมราษฏรตามที่ต่าง ๆ ทั้งหมดล้วนสื่อให้เห็นถึงพระจริยวัตรรอันงดงามเห็นถึงพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีจากพระชนกและพระชนนีอันเป็นที่รักของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก "พ่อ" หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เหตุการณ์น่าประทับใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความห่วงใยและความปรารถนาดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อพวกราชธิดาของพระองค์ก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2547
ในวันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระเทพฯ มีใจความว่า
ลูกพ่อ
ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสําเร็จลงได้จักต้องมีวิธีที่จักดําเนินให้ไปถึงความสว่างหรือความดีนั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่นเพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้
พ่อจึงขอบอกลูกดังนี้...
1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต
2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม
3. มีความสันโดษ คือ
- มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกําลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
- ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
- พอใจตามสมควร คือทํางานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
- ให้ดํารงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
4. มีความมั่นคงแห่งจิตใจ คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึ่งปรารถนาให้ภาวนาว่า...มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฏธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า 'ชั่งมัน'
พ่อ
นี่คือคําสอนที่กลั่นออกมาจากหัวใจของผู้เป็นพ่อสู่ลูกได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง และเป็นโชคดีที่สุดของคนไทย ที่ต่อมาสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้้นํามาเผยแพร่ เพื่อนเป็นการแบ่งปันข้อคิดดี ๆ แก่ประชาชนของพระองค์ต่อไป โดยสมเด็จพระเทพฯ มีพระรราชปรารภทิ้งท้ายจดหมายนั้นเอาไว้ว่า
ฉันหวังว่า คําสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน
ฉันรักพ่อฉันจัง
สิรินธร
ด้วยแนวการสอนดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจแต่ประการใดที่ "ลูก" คนนี้จะมีพระจริยวัตรอันงดงาม และเป็นที่ชื่นชมในหมู่พสกนิกรมาโดยตลอด เพราะไม่เพียงแต่การถึงพร้อมซึ่งพระปรีีชาสามารถอันหลายหลากเท่านั้น หากการประกอบพระราชกรณียกิจทุกครั้ง ล้วนเป็นที่ประจักษ์แก่ใจประชาชนถึงการยึดมั่นไว้ซึ่งหลัก 4 ประการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสอนสั่งทั้งสิ้น
และทั้งหมดนี้ก็สะท้อนอยู่ในทุก ๆ ชิ้นงาน และทุก ๆ บทบาทของเจ้าหญิงผู้เป็นดั่งเทพธิดาประจําใจของคนไทยทั้งมวล...สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
ภาคพิเศษ : เรื่องที่เล่าต่อกันมา
ความรู้สึกของคนลาวต่อสมเด็จพระเทพฯ
ผมไปสอนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี...ในคลาสที่สอน มีนักเรียนทุนปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวมาเรียนด้วย เป็นหญิงหนึ่งคนและชายหนึ่งคน...การสอนวันนั้นไม่เน้นทางวิชาการ แต่เน้นวิธีคิด ตอนหนึ่งผมถามลูกศิษย์ชาวลาวว่า
"รู้จักสมเด็จพระเทพรัตนฯ หรือไม่"
นักศึกษาลาวตอบว่า "รู้จักดีค่ะ"ผมถามต่อว่า "วิจารณ์หรือแสดงความรู้สึกต่อพระองค์ท่านสักนิดสิครับ"
นักศึกษาลาวตอบว่า "ท่านเป็นคนดีที่สุดในโลก"
จากนั้นก็พูดต่อว่า
"พระเทพฯ รักคนลาว เป็นห่วงคนลาว เข้าใจคนลาว ช่วยเหลือคนลาว ไม่เคยดูถูกคนลาว ท่านเป็นคนที่ดีมาก ๆๆ"ผมถามนักศึกษาลาวต่อว่า "คนลาวรู้สึกอย่างไรต่อพระองค์ในภาพรวม"
นักศึกษาลาวพูดเสียงเครือ ๆ ว่า "คนลาวรักสมเด็จพระเทพฯ มาก ๆ มีบ้านพระเทพฯ อยู่ที่เขื่อนนํ้างึมด้วย เรารู้สึกว่าพระเทพฯ เป็นคนที่ดีที่สุด เป็นห่วงและทําให้เมืองลาวมาก ๆ ..ฯลฯ
ผมพูดต่อไปว่า "มีอะไรจะพูดอีกไหมครับ"
นักศึกษาลาว...เงียบ และยกมือขึ้นปาดนํ้าตา
(เรียบเรียงและตัดทอนจากฟอร์เวิร์ดเมลโดย คุณยอดเยี่ยม เทพธรานนท์)
ให้พ่อเลี้ยงข้าวครู
เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก 13 ปี) มีนักธุรกิจคนหนึ่งที่ทํางานอยู่กับ คุณเจริญ - คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ไปหาอาตมา (พระราชวิจิตรปฏิภาน) ที่วัดสุทัศน์ เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบ และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ดังนี้
"เมื่อตอนเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ ต่อมาก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปียสองข้าง เข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง ว่างก็สนทนากันถึงเรื่องราววิชาการ
"อยู่มาวันหนึ่ง นักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้านโดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ โดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรดาโดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ 1 แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าประตูด้วยคําพูดนี้ (เป็นคําพูดเฉพาะ...)
"ครั้นพอถึงวันนัดหมาย ผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่ เมื่อเข้าประตู ผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้น ครั้นถึงขั้นที่ 2 ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง
"แต่พอถึงขั้งจบชั้นที่ 3 ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ 'สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี' ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้ครับ พอผมนึกออก ผมก็เริ่มสั่นแล้ว
" แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออก เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า เจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจิงจัง เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ทรงค้นคว้าและจดจําอย่างขมีขมัน โดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์ และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา ยิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว
"เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้นและที่ทําให้ผมสั่นยิ่งขึ้นอีกก็คือ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ 'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว'
"สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯ ออกมา ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า "เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน"
"เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าที่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า 'มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า' พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า ขอให้ทําตัวตามปกติ ไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาวิชาการดังกล่าว
"จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า 'อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจํานวนมาก บางรายก็ขอนําเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้ เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานํามาถวายเรานั้นเป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้ ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่า พระราชาอย่างเราต้องการคนซื่อสัตย์ เพราะคนที่ซื่อสัตย์คือสมบัติของพระราชาอย่างเรา'
"ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ่งนํ้าตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็ก ๆ คนหนึ่ง พระราชดํารัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต..."
(ตัดทอนจากบทความเรื่อง "คนซื่อสัตย์คือสมบัติของพระราชา"
โดยพระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์
ที่มาหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคา 2551)
Secret Box ตอนท้ายของบทความในหนังสือ
ความมุ่งหวัง ความสําเร็จ ถ้าเราก้าวเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้องย่อมถึงปลายทางเข้าสักวัน
พระราชนิพนธ์คํานํา จาก ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง Destinations
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ขอถวายพระพรให้ทรงพระเกษมสําราญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมฯ
ที่มา.. หนังสือซีเคร็ต ฉบับที่ 90 ( 26 มีนาคม 2555)