วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีื เทพธิดาในดวงใจไทยทั้งผอง (หนังสือซีเคร็ต ฉบับที่ 90)

         หลังจากที่เรากลับไปทําธุระที่บ้านเกิดเสร็จเรียบร้อยเราจึงเดินทางกลับสมุย เพื่อกลับมาทํามาหากินต่อ  ก่อนขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะหาหนังสืออ่านสักเล่ม  หนังสือที่เราอ่านเป็นประจําและยอมเสียเงินซื้อ มีไม่กี่เล่ม  my home, คู่สร้างคู่สม และก็เล่มนี้.. ซีเคร็ต  ซึ่งฉบับที่ 90  นี้สะดุดตามาก  เพราะฉบับนี้ได้อัญเชิญพระชายาลักษณ์สมเด็จพระเทพฯ ของพวกเราชาวไทย  รู้สึกเป็นเกียรติและปลาบปลื้มมาก เพราะเราเองรักท่านมาก เนื้อหาเมื่ออ่านดูแล้วยิ่งรู้สึกปลาบปลื้มใจมากขึ้นไปใหญ่  จึงทนไม่ไหว อยากแชร์ให้เพื่อนพ้องชาวไทย ได้อ่าน  ท่านมีมุมน่ารัก ๆ หลายอย่าง  ลองอ่านดูนะคะเพื่อน ๆ  แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่าอยากให้เพื่อน ๆ ซื้อหนังสือมาเก็บไ้ว้เป็นเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง  อีกอย่างหนึ่งหนังสือเล่มนี้ถ้าใครไม่เคยได้อ่านซีเคร็ต อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองซื้ออ่านจะดีกว่านะ เพราะเขามีเรื่องราวดี ๆ มากมายมานําเสนอเราตลอด เราการันตี เพราะ ซื้ออ่านแทบจะทุกเล่มเลยก็ว่าได้  รู้สึกว่ามันใช่เลยล่ะ  เป็นหนังสือที่ดีมากมาย ราคาก็ไม่แพง 55 บาท  ปักษ์  90  นี้เป็นปักษ์ล่าสุด ยิ่งไม่ควรพลาดนะคะ

           สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สองในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ  พระนามเดิมว่า  สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ  เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา  กิติวัฒนาดุลยโสภาคย์  ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน  พ.ศ. 2498  ณ  พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต  โดยศาสตราจารย์  นายแพทย์  หม่อมหลวงเกษตร  สนิทวงศ์  เป็นผู้ถวายการประสูติ  และมีพระนามที่บรรดาข้าราชการบริพารเรียกกันทั่วไปว่า  "ทูลกระหม่อมน้อย"


          จวบกระทั่งวันที่  5  ธันวาคม  พ.ศ.  2520  ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  มีพระบรมราชโองการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ  เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา  กิติวัฒนาดุลยโสภาคย์  และเฉลิมพระนามาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า  "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร  รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ  สยามบรมราชกุมารี"  นับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรกที่ทรงดํารงฐานันดรศักดิ์  " สยามบรมราชกุมารี "  แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์


ภาค 1  :  เจ้าหญิงนักพัฒนา


          ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ภาพหนึ่งซึ่งประชาชนชาวไทยต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือ  ภาพที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ  โดยเฉพาะในส่วนของงานพัฒนาในด้านต่าง ๆ
ภายหลังจากที่ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ  ไปในชนบทอันห่างไกลและทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ยังเยาว์พระชันษา  และได้แรงบันดาลพระทัยจากการที่ทอดพระเนตรเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและทรงทราบปัญหาต่าง ๆ  อาทิ  ขาดบริการสาธารณสุขและการศึกษาที่ดี  ด้วยเหตุนี้จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเด็ก  แยาวชน  และประชาชนที่ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารเหล่านี้  และทรงเริ่มงานพัฒนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523  เป็นต้นมา  เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น  โดยเน้นหนักถึงองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น  โดยเน้นหนักถึงองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตใน 4 ด้านหลัก ๆ  คือ  ด้านสุขภาพอนามัย  ด้านการศึกษา  ด้านอาชีพ  และด้านสิ่งแวดล้อม  ทางงานโครงการตามพระราชดําริต่าง ๆ มากมาย
และนี่คือเหตุปัจจัยสําคัญที่ทําให้พระองค์ทรงเป็นเทพธิดาในหัวใจของปรชาชนชาวไทยเสมอมา
อย่างไรก็ดี  นอกเหนือจากบทบาทการเป็นเจ้าหญิงนักพัฒนาแล้ว  สมเด็จพระเทพฯ  ยังมีอีกหลายด้านหลายมุม  ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผ้คนเสมอมา  ทั้งในแง่ของพระอัจฉริยภาพ  พระปรีชาสามารถ  หรือกระทั่งความ  "น่ารัก"  ของพระองค์ที่ประทับในความทรงจําของคนไทยมาโดยตลอด  ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของนักประัพันธ์  นักดนตรี  หรือว่าครู

ภาค 2  :  เจ้าหญิงนักประพันธ์


          นับตั้งแต่ทรงเป็นเจ้าหญิงพระองค์น้อย  สมเด็จพระองค์น้อย  สมเด็จพระเทพฯ  โปรดการทรงพระอักษรเป็นอย่างมาก  อีกทั้งยังมีพระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์บทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองเป็นอย่างสูง
          จุดเริ่มต้นในบรรณพิภพของสมเด็จพระเทพฯ เกิดขึ้นนับตั้งแต่พระชนมายุได้เพียง  12  พรรษา  โดยเริ่มงานพระรานิพนธฺ์เหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์แพร่หลายในหนังสือหลายต่อหลายเล่ม  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอยุธยา,  เจ้าครอกวัดโพธิ์,  ศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร,  พุทธศาสนสุภาษิตคําโคลง  ที่ทรงถอดมาจากภาษาบาลี  รวมถึงหนังสือพระราชนิพนธ์ซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชมมายาวนานอย่าง  กษัตริยานุสรณ์  ซึ่งทรงประพันธ์ขึ้นเพื่อทูลเกล้าฯ  ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ  เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี พ.ศ.  2516  โดยในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง  18  พรรษาเท่านั้น
          ทั้งนี้  พระราชนิพนธ์บทกวีที่นํามาเสนอเป็นบางส่วนนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ได้อย่างชัดเจน
           "รักชาติยอมสละแม้         ชีวี
       รักเกียรติจงเจตน์พลี            ชีพได้
       รักราชมุ่งภักดี                     รองบาท
       รักศาสน์ราญเศิกไส้             เพื่อเกื้อพระศาสนา"  
          นับตั้งแต่นั้นมา งานพระราชนิพนธ์อีกจํานวนนับร้อยเล่มต่างทยอยพิมพ์อย่างต่อเนื่อง  และได้รับการยกย่องในแง่ของการที่ทรงบรรยายสถานที่และสถานการณ์ต่าง ๆ  ได้อย่างเห็นภาพ  ด้วภาษาที่รื่นไหลชวนอ่าน  และแฝงไว้ซึ่งพระอารมณ์ขัน  โดยไม่าดเนื้อหาสาระที่สําคัญ ๆ เลยแม้แต่น้อย  ไม่ว่าจะเป็นพระราชนิพนธ์เชิงวิชาการอย่าง  การใช้ระบบสนทศภูมิศาสตร์เพื่อการพัฒนาพื้นที่เกษตร  ในอําเภอพัฒนานิคมและชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี,  การพัฒนานวัตกรรมเสริมทัษะการเรียนการสอนภาษาไทย  สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  พระราชนิพนธ์บทกวี  เช่น  กาลเวลาที่ผ่านเลย  พระราชนิพนธ์แปลเรื่องเยือนสถานที่ต่าง ๆ  ทั่วโลก  อาทิ  มนต์รักทะเลใต้ (สิงคโปร์/ปาปัวนิวกินี/ราชอาณาจักรตองกา/ เกาะคุก/ หมู่เกาฟิจิ / หมู่เกาะโซโลมอน )  มุ่งไกลในรอยทราย (จีน)  ฯลฯ 
          ตัวอย่างที่ชัดเจนของพระราชนิพนธ์ที่ถึงพร้อมในคุณสมบัติเหล่านี้คือ  พระราชนิพนธ์ที่ถึงพร้อมในคุณสมบัติเหล่านี้ คือ  พระราชนิพนธ์เรื่องแม่  ซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า  
          "...พอคํ่าลงเราก็ขึ้นมารับประทานอาหาร  ตอนอาหารนี้ถ้าว่างพระราชกิจ  สมเด็จแม่มักจะอยู่ด้วย  ประการแรก  ท่านจะได้ดูว่ารับประทานที่มีคุณค่าทางอาหารพอหรือไม่  ประการที่สอง  ดูมารยาทโต๊ะ  และประการที่สาม  เป็นข้อที่พี่น้องทุกคนรวมทั้งพี่เลี้ยงชอบที่สุด  คือท่านจะเลือกหนังสือดี ๆ สนุก ๆ มาเล่าให้ฟัง  หนังสือที่ท่านเอามาเล่าบางทีก็เป็นนิทานธรรมดา ๆ หรือนิทานเรื่องชาดกในพุทธศาสนา  บางทีก็เป็นหนังสือประวัติศาสตร์  ประวัติบุคคลสําคัญ  และความรู้รอบตัวอื่น ๆ  บางครั้งเป็นข่างจากหนังสือพิพ์รายสับดาห์
           ตอนหลัง ๆ นี้ท่านชอบอ่านเป็นภาษาอังกฤษให้เราหัดฟังภาษาด้วย  นาน ๆ ทีก็อาจจะมีการถามปัญหาทวนความจํา  ถ้าตอบถูกมักมีรางวัลเงินสด  1  บาท  เป็นที่ขบขันกันในครอบครัวว่า  "หนังสือธรรมดา ๆ ที่น่าเบื่อที่สุดในโลก  พอสมเด็จแม่เล่ามันสนุกตื่นเต้นมีรสชาติขึ้นมาทันที"
          "ท่านจะเน้นระบายสี  หยิบยกจับความที่น่าสนใจขึ้นมาเล่า (ทูลหม่อมพ่อยังโปรดฟัง)   ทําให้จําง่ายไม่ต้องท่อง  เรื่องนี้มีความลับอย่างหนึ่ง  (ที่เปิดเผยได้แล้ว)  ว่า  บางทีข้าพเจ้าขี้เกียจอ่านหนังสือเพราะเรียนเยอะแยะ  ก็อาศัยจําเอาจากที่สมเด็จแม่เล่า  นํามาวิจารณ์เพิ่่มเติม  แล้วใช้ตอบข้อสอบ  หรือเขียนรายงานส่งครูสบาย ๆ
          "เรื่องนิทานองสมเด็จแม่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้น  คือเรื่องผี  แต่ก่อนนี้พี่เลี้ยงไม่ยอมเล่าเรื่องผี  พอไปโรงเรียนเพื่อน ๆ ก็มาหลอก  สมเด็จแม่ท่านว่า  ถ้ามานั่งอธิบายว่าผีไม่มีจ้างก็ไม่เชื่อ  ท่านจึงสําทับโดยการเล่าเรื่องผีที่น่ากลัวกว่าให้เข็ด..." 

          นอกจากนี้ก็มีบทกลอนที่พระราชนิพนธ์เอาไว้ขณะพระชนมายุ  10  พรรษา  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทํานองในปี พ.ศ.  2537  จนกลายเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ "รัก"  ตามมาด้วยเพลงพระราชนิพนธ์ " ไทยดําเนินดอย"  "เต่ากินผักบุ้ง" หรือ "จีนเด็ดดอกไม้ เถา"  ที่พระราชนิพนธ์บทร้องสําหรับเพลงไทยเดิมเหล่านี้ได้อย่างไพเราะ 
          ไม่เพียงเท่านั้น  พระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์บทกลอนนับตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์  นอกจากจะได้รับการเผยแพร่ในหนังสือต่าง ๆ แล้ว  ยังมีการต่อยอดออกไปสู่งานศิลป์อีกแขนงหนึ่งด้วย นั่นคือ  งานดนตรี  อาทิ  โคลงสี่สุภาพที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอาหารที่ทําจากไข่  ซึ่งพระราชนิพนธ์เอาไว้เมื่อปี พ.ศ.  2518  อีก  20  ปีต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทํานองเพลงจนออกมาเป็นเพลง "เมณูไข่"
          อย่างไรก็ดี  อาจกล่าวได้ว่า  ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชนิพนธ์ประเภทไหน  รูปแบบใดก็ตาม  ล้วนแล้วแต่ควรค่าแก่การอ่านทั้งเพื่อการศึกษาและการหาความบันเทิงทั้งสิ้น


ภาค  3  :  เจ้าหญิงนักดนตรี



          นอกเหนือจากพระอัจฉริยะภาพทางด้านอักษรศาสตร์แล้ว อีกหนึ่งศาสตร์ที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงรักและมีความชํานาญเป็นอย่างมาก  คืองานศิลปวัฒนธรรมด้านดนตรีไทย  พระองค์สามารถทรงเครื่องดนตรีไทยได้ทุกชนิดแต่ที่ทรงอยู่เป็นประจําคือ ซอ  ฆ้องวง  ระนาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งระนาดเอก
          แรกทีเีดียวสมเด็จพระเทพฯ  ทรงรู้สึกเกรงกลัวการทรงดนตรีไทยอยู่นานสืบเนื่องจากเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์เคยพยายามเข้าไปตีระนาดเล่น  หากโดนห้ามเอาไว้และเตือนว่าเครื่องดนตรีไทยนั้นเป็นของสูง  เป็นของครูบาอาจารย์  จึงไม่สามารถทําเล่น ๆ เหมือนเช่นเครื่องดนตรีสากลได้  เพราะอาจถูกครูบันดาลให้มีอันเป็นไป  พระองค์จึงมิได้ทรงเครื่องดนตรีไทยอีกถึงแม้ว่าจะทรงอยากเรียนเป็นอย่างยิ่งก็ตาม
          ครั้นเวลาผ่านไปหลายปี  พระองค์จึงทรงมีโอกาสเริ่มหัดดนตรีไทยในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2  โรงเรียนจิตลดา  โดยทรงเลือกซอด้วง  เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก  ด้วยทรงมีซออยู่แล้ว  ก่อนที่จะทรงเริ่มเรียนระนาดเอกอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ.  2528  หลังจากที่ได้เสด็จฯ  เพื่อทรงดนตรีไทย  ณ  บ้านปลายเนิน  ซึ่งเป็นวังของ  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์  โดยมีครู สิริชัยชาญ  ฟักจํารูญเป็นพระอาจารย์
          ช่วงนั้น  ทุกวันภายหลังจากตื่นบรรทมแล้ว  พระองค์ทรงทําการบ้านด้วยการไล่ระนาดทุกเช้า  จนกระทั่งปีถัดมาพระองค์จึงทรงบรรเลงระนาดเอกร่วมกับครูอาวุโสของวงการดนตรีไทยหลายท่านต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก  ในงานดนตรีไทยอุดมศึกษาครั้งที่  17  ณ  มหาลัยวิทยาลัยเชียงใหม่  โดยเพลงที่ทรงบรรเลง  คือ  เพลง  นกขมิ้น (เถา)




         นับจากนั้นมา  การทรงดนตรีไทยก็กลายเป็นงานอดิเรกที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงโปรดปราณเรื่อยมา  และได้ทรงดนตรีไทยในวาระต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง  อาทิ  งานปิดภาคเรียนของโรงเรียน  งานวันคืนสู่เหย้าโรงเรียนจิตรลดา  ฯลฯ  จวบจนทรงเ้ข้าศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  พระองค์ก็ทรงเข้าร่วมชมรมดนตรีไทยของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาัลัยและคณะอักษรศาสตร์  โดยทรงซอด้วงเป็นหลัก  และต่อมาก็ทรงหัดเล่นเครื่องดนตรีไทยชิ้นอื่นอีกหลายชิ้น
          นอกจากดนตรีไทยแล้ว  พระองค์ยังโปรดดนตรีสากลด้วย  โดยทรงเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่พระชนมายุ  10  พรรษา  แต่ทรงเลิกเรียนหลังจากนั้น  2  ปี  ก่อนที่จะทรงฝึกเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่งเป่าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จนสามารถทรงทรัมเป็ดนําวงดุริยางค์ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทยได้อย่างน่าชื่นชม  นอกจากนั้นยังเคยทรงระนาดฝรั่งนําวงดุริยางค์ในวงกว้าง
          ด้วยความรักในด้านการทรงดนตรีนี้เอง  ทําให้พระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริม  อนุรักษ์  และทรงให้การอุปถัมภ์งานด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศผ่านทางพระราชกรณียกิจจํานวนมาก  จนได้รับการถวายพระสมัญญาว่า  " เอกอัครราชูปถ้มภกมรดกวัฒนธรรมไทย"  และ  " วิศิษฏศิลปิน"  ในเวลาต่อมา

ภาค  4  :  เจ้าหญิงนักเดินทาง


          ตลอดระยะเวลาเกือบทั้งพระชนมชีพ  สมเด็จพระเทพฯ ได้เสด็จประพาสประเทศต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ครั้งแรกเมื่อมีพระชนมายุเพียง  5  พรรษา  โดยในครั้งนั้นเป็นการตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดําเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปอีก  13  ประเทศ  เป็นเวลาทั้งสิ้น  7  เดือนเศษ
          นับจากนั้นมาชีวิตของพระองค์ก็ทรงผูกพันอยู่กับการเดินทางมาโดยตลอด  คงไม่เกินเลยหากจะมีการจํากัดความให้กับสมเด็จพระเทพฯว่าเป็น   "เจ้าหญิงนักเดินทาง"  
          ทุกครั้งที่สมเด็จพระเทพฯเสด็จฯ เยือนต่างประเทศ  พระอิริยาบถหนึ่งซึ่งเป็นที่จดจําและได้รับการบันทึกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์จํานวนมากคือ  พระอิริยาบถที่ทรงสะพายกล้องถ่ายรูป  ในขณะที่พระหัตถ์ทั้งสองประคองถือสมุดบันทึกกับปากกาอยู่ตลอดเวลา  โดยส่วนหนึ่งได้รับการถ่ายทอดลงในงานพระราชนิพนธ์หลายสิบเรื่องจากหลายสิบการเดินทาง  อาทิ  การเสด็จฯ  เยือนประเทศฝรั่งเศษ,  ข้าวไทยไปญี่ปุ่น,  เยือนถิ่นอินเดียนแดงเกล็ดหิมะในสายหมอก,  ยํ่าแดนมังกร  ฯลฯ
          งานพระราชนิพนธ์เหล่านี้  ต่อมาได้กลายเป็นเสมือนบทบันทึกทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าทั้งทางด้านข้อมูลความรู้ทางวิชาการ  และความงดงามในแง่ของงานประพันธ์ พร้อมทั้งสอดแทรกแง่มุมที่หาอ่านได้ยากจากหนังสือบันทึกการ่องเที่ยวเล่มอื่น ๆ  อย่างเช่นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมการกินอาหารแปลก ๆ  ของชาวจีนในพระราชนิพนธ์ ยํ่าแดนมังกร
          "  สิ่งที่รับประทานกับหมาดํา  เป็นซุปที่เขียนเอาไว้ในเมณูว่า "ซุปไก่ตุ๋นในหม้อ"  ต้องอธิบายนิดหน่อยว่าหม้ออันนี้เป็นหม้อพิเศษ  ซึ่งใช้ทําไก่อัด (ทั้งตัว)  ใคร ๆ เช่น  ป้าไล  ตุ๋ย  ต่างซื้อกันใหญ่  ท่านผู้ว่าฯ กระซิบว่า  นี่ไม่ใช่ไก่  แต่เป็นตุ๊กแก  ข้าพเจ้าเป็นคนสําคัญก็ได้กินมากหน่อย  คนอื่น ๆ ได้กินแต่นํ้าซุปหรือเนื้อไก่เท่านั้นแหล่ะ ไม่ใช่ตุ๊กแกจริง ๆ  ว่าแล้วก็หันไปสั่งลูกน้องให้เลือกมาเฉพาะตรงที่เป็นตุ๊กแกมาให้ข้าพเจ้าถึงสองถ้วย  เนื้อตุ๊กแกในซุปนี้ไม่ค่อยน่าเกลียด  เขาลอกหนังออกหมดแล้วหั่นเป็นท่อน ๆ ที่มีขาติด  เขาก็ตัดออก  ท่านผู้ว่าฯ อธิบายวิธีรับประทานว่า  กระดูกตุ๊กแกก็รับประทานได้  แต่ขอให้เครียวละเอียด ๆ  ให้รับประทานมาก ๆ เพราะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  ช่วยระบบประสาทและแก้หืด.."
          ทั้งหมดบันทึกไว้อย่างมีชีวิตชีวา  และถ่ายทอดออกมาด้วยความรักในการเดินทางสมดังเช่นที่  คุณวิลาศ  มณีวัต  นักเขียนผู้ล่วงลับเคยระบุไว้ว่า  พระองค์นั้น  "ได้เสด็จประพาสประเทศต่าง ๆ มาแล้วมากต่อมาก  บางประเทศได้เสด็จฯ ไปหลายครั้ง  จนมีบางคนกล่าวว่าทรงมีวิญญาณของมาร์โค  โปโล"

ภาค  5  :  ลูกสาวของพ่อ




          ท่ามกลางความสามารถและบทบาทอันหลากหลายของพระองค์  บทบาทหนึ่่งซึ่่งเป็นที่ประทับใจประชาชนคนไทยมาโดยตลอดคือ บทบาทของความเป็นพระราชธิดาที่น่ารัก  ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เห็นปรากฏอยู่ในพระบรมฉายาลักษณ์ของพระราชวงศ์หรือภาพจากการตามเสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมราษฏรตามที่ต่าง ๆ  ทั้งหมดล้วนสื่อให้เห็นถึงพระจริยวัตรรอันงดงามเห็นถึงพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีจากพระชนกและพระชนนีอันเป็นที่รักของพระองค์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก "พ่อ"  หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
          เหตุการณ์น่าประทับใจ  ซึ่งสะท้อนให้เห็นความห่วงใยและความปรารถนาดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อพวกราชธิดาของพระองค์ก็คือ  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่  6  ตุลาคม  ปี  พ.ศ.  2547  
          ในวันนั้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระเทพฯ  มีใจความว่า
ลูกพ่อ
          ในพื้นแผ่นดินนี้  ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด  มีความมืดและความสว่าง  ความดีและความชั่ว  ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว  ทุกคนปรารถนาความสว่าง  ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน  แต่ความปรารถนานั้นจักสําเร็จลงได้จักต้องมีวิธีที่จักดําเนินให้ไปถึงความสว่างหรือความดีนั้น   ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่นเพราะความรักผู้อื่น  สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา  ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ  ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้
พ่อจึงขอบอกลูกดังนี้...
          1.  ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า  เป็นเพื่อนเกิด  เพื่อนแก่  เพื่อนเจ็บ  เพื่อนตายด้วยกัน  ทั้งหมดทั้งสิ้น  ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต
          2.  มองโลกในแง่ดี  และจะให้ดียิ่งขึ้น  ควรมองโลกจากความเป็นจริง   อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง  และเหมาะสม
          3.  มีความสันโดษ  คือ
               -  มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ  พอใจตามมีตามได้  คือได้อย่างไร  ก็เอาอย่างนั้น  ไม่ยึดติด  ขอให้คิดว่ามีก็ดี  ไม่มีก็ได้  พอใจตามกําลัง  คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
               -  ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
               -  พอใจตามสมควร  คือทํางานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
               -  ให้ดํารงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
          4.  มีความมั่นคงแห่งจิตใจ  คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน  และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร  และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึ่งปรารถนาให้ภาวนาว่า...มีลาภ  มียศ  สุขทุกข์ปรากฏ  สรรเสริญ  นินทา  เสื่อมลาภ  เสื่อมยศ  เป็นกฏธรรมดา  อย่ามัวโศกานึกว่า  'ชั่งมัน'
พ่อ 


           นี่คือคําสอนที่กลั่นออกมาจากหัวใจของผู้เป็นพ่อสู่ลูกได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง  และเป็นโชคดีที่สุดของคนไทย  ที่ต่อมาสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้้นํามาเผยแพร่  เพื่อนเป็นการแบ่งปันข้อคิดดี ๆ  แก่ประชาชนของพระองค์ต่อไป  โดยสมเด็จพระเทพฯ  มีพระรราชปรารภทิ้งท้ายจดหมายนั้นเอาไว้ว่า
          ฉันหวังว่า  คําสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็น  และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน
ฉันรักพ่อฉันจัง
สิรินธร 


          ด้วยแนวการสอนดังกล่าว  จึงไม่น่าแปลกใจแต่ประการใดที่ "ลูก"  คนนี้จะมีพระจริยวัตรอันงดงาม และเป็นที่ชื่นชมในหมู่พสกนิกรมาโดยตลอด เพราะไม่เพียงแต่การถึงพร้อมซึ่งพระปรีีชาสามารถอันหลายหลากเท่านั้น  หากการประกอบพระราชกรณียกิจทุกครั้ง  ล้วนเป็นที่ประจักษ์แก่ใจประชาชนถึงการยึดมั่นไว้ซึ่งหลัก  4  ประการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสอนสั่งทั้งสิ้น
          และทั้งหมดนี้ก็สะท้อนอยู่ในทุก ๆ  ชิ้นงาน  และทุก ๆ บทบาทของเจ้าหญิงผู้เป็นดั่งเทพธิดาประจําใจของคนไทยทั้งมวล...สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา  สยามบรมราชกุมารี

ภาคพิเศษ  :  เรื่องที่เล่าต่อกันมา

ความรู้สึกของคนลาวต่อสมเด็จพระเทพฯ

          ผมไปสอนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์  มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี...ในคลาสที่สอน  มีนักเรียนทุนปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวมาเรียนด้วย  เป็นหญิงหนึ่งคนและชายหนึ่งคน...
          การสอนวันนั้นไม่เน้นทางวิชาการ  แต่เน้นวิธีคิด  ตอนหนึ่งผมถามลูกศิษย์ชาวลาวว่า
"รู้จักสมเด็จพระเทพรัตนฯ หรือไม่"
นักศึกษาลาวตอบว่า  "รู้จักดีค่ะ"
          ผมถามต่อว่า  "วิจารณ์หรือแสดงความรู้สึกต่อพระองค์ท่านสักนิดสิครับ"
          นักศึกษาลาวตอบว่า  "ท่านเป็นคนดีที่สุดในโลก"
จากนั้นก็พูดต่อว่า
          "พระเทพฯ รักคนลาว  เป็นห่วงคนลาว  เข้าใจคนลาว ช่วยเหลือคนลาว  ไม่เคยดูถูกคนลาว  ท่านเป็นคนที่ดีมาก ๆๆ"
          ผมถามนักศึกษาลาวต่อว่า  "คนลาวรู้สึกอย่างไรต่อพระองค์ในภาพรวม"
          นักศึกษาลาวพูดเสียงเครือ ๆ ว่า  "คนลาวรักสมเด็จพระเทพฯ มาก ๆ  มีบ้านพระเทพฯ อยู่ที่เขื่อนนํ้างึมด้วย  เรารู้สึกว่าพระเทพฯ เป็นคนที่ดีที่สุด  เป็นห่วงและทําให้เมืองลาวมาก ๆ ..ฯลฯ
          ผมพูดต่อไปว่า  "มีอะไรจะพูดอีกไหมครับ"
          นักศึกษาลาว...เงียบ   และยกมือขึ้นปาดนํ้าตา
(เรียบเรียงและตัดทอนจากฟอร์เวิร์ดเมลโดย คุณยอดเยี่ยม  เทพธรานนท์)

ให้พ่อเลี้ยงข้าวครู

          เมื่อหลายปีก่อน  (ประมาณสัก  13  ปี)  มีนักธุรกิจคนหนึ่งที่ทํางานอยู่กับ  คุณเจริญ - คุณหญิงวรรณา  สิริวัฒนภักดี  ไปหาอาตมา  (พระราชวิจิตรปฏิภาน)  ที่วัดสุทัศน์  เมื่อพบกัน  ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบ  และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ดังนี้
  "เมื่อตอนเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ  ต่อมาก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปียสองข้าง  เข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง  ว่างก็สนทนากันถึงเรื่องราววิชาการ
           "อยู่มาวันหนึ่ง  นักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้านโดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ  ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ  โดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต  สวนจิตรดาโดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่  1  แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าประตูด้วยคําพูดนี้  (เป็นคําพูดเฉพาะ...)
          "ครั้นพอถึงวันนัดหมาย  ผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่  เมื่อเข้าประตู  ผมก็มิได้สงสัย  คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้น  ครั้นถึงขั้นที่  2  ผมก็บอกตามนั้นอีก  เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี  ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง
          "แต่พอถึงขั้งจบชั้นที่  3  ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า   แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ  'สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี'  ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้ครับ  พอผมนึกออก  ผมก็เริ่มสั่นแล้ว
          " แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออก  เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า  เจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจิงจัง  เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง  ทรงค้นคว้าและจดจําอย่างขมีขมัน   โดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์  และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา  ยิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว
          "เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ  ผมก็ประหม่า  และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ  สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร  ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้นและที่ทําให้ผมสั่นยิ่งขึ้นอีกก็คือ  ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ  'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว'
          "สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯ ออกมา  ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า  "เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน"  
        "เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนี้  ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าที่สุด  แล้วกราบบังคมทูลว่า  'มิเป็นการบังอาจ  พระพุทธเจ้าข้า'  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า  ขอให้ทําตัวตามปกติ  ไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด  พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาวิชาการดังกล่าว

          "จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า   'อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจํานวนมาก  บางรายก็ขอนําเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย  แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้  เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร  ในเมื่อเงินที่เขานํามาถวายเรานั้นเป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา  เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้  ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่า  พระราชาอย่างเราต้องการคนซื่อสัตย์  เพราะคนที่ซื่อสัตย์คือสมบัติของพระราชาอย่างเรา'
          "ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง  ด้วยความซาบซึ่งนํ้าตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ  ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็ก ๆ คนหนึ่ง  พระราชดํารัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม  จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว  เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต..."
(ตัดทอนจากบทความเรื่อง "คนซื่อสัตย์คือสมบัติของพระราชา"
โดยพระราชวิจิตรปฏิภาณ  วัดสุทัศน์
ที่มาหนังสือพิมพ์สยามรัฐ  ฉบับวันศุกร์ที่  5  ธันวาคา  2551)

Secret  Box  ตอนท้ายของบทความในหนังสือ

     ความมุ่งหวัง  ความสําเร็จ  ถ้าเราก้าวเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้องย่อมถึงปลายทางเข้าสักวัน
พระราชนิพนธ์คํานํา  จาก  ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง  Destinations
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี


ขอถวายพระพรให้ทรงพระเกษมสําราญยิ่งยืนนาน  ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมฯ

ที่มา.. หนังสือซีเคร็ต ฉบับที่ 90   ( 26  มีนาคม  2555)

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

FULL MOON PARTY



Full Moon Party     ใครเคยไปเที่ยวงานปาร์ตี้นี้กันบ้างเอ่ย... 
          ไม่มีใครให้นิยามความหมายที่แท้จริงของคำว่าฟูลมูนปาร์ตี้ ว่ามีประวัติความเป็น มาอย่างไร นอกเหนือจากการดำรงอยู่ของมันในวันนี้ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจของการ ท่องเที่ยวบนเกาะพะงันไปแล้ว 


          ก่อนอื่นเรามารู้จักความเป็นมาของปาร์ตี้ในคํ่าคืนพระจันทร์เต็มดวงนี้กันเถอะ


        เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่างานฟูลมูนปาร์ตี้ที่เกาะพะงันนั้นถือเป็นงานสังสรรค์ระดับตำนาน ซึ่งอันที่จริงแล้ว ยังมีงานฮาล์ฟมูนปาร์ตี้และงานแบล็คมูนปาร์ตี้ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันอีกด้วย ทำไปทำมาดูเหมือนว่าทุกคนต่างยินดีและเต็มใจจะออกมาฉลองและสนุกสุขสันต์กันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าพระจันทร์จะเต็มดวงหรือถูกเมฆบดบังก็ตามที
แต่เดิม งานฟูลมูนปาร์ตี้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 1980 โดยนักท่องเที่ยวและเพื่อนฝูงกลุ่มเล็กๆ ได้ชวนกันออกไปสังสรรค์และเต้นรำบนชายหาดในตอนกลางคืน ซึ่งแสงจากพระจันทร์เต็มดวงที่สะท้อนผืนน้ำได้ให้ความสว่างเพียงพอแก่พวกเขาจนสามารถมองเห็นบริเวณรอบๆ ได้ ปกติแล้ว ปาร์ตี้จะมีขนาดเล็ก และมีอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้อย่าง วิทยุแบบพกพา (ยังจำกันได้ไหม?) กีตาร์ เบียร์ รวมถึงบางทีก็มีแคมป์ไฟ เมื่อเรื่องราวได้รับการเล่าจากปากต่อปาก ก็ส่งผลให้งานปาร์ตี้ขนาดย่อมได้พัฒนากลายมาเป็นอีเวนท์ใหญ่ประจำเดือน ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและดึงดูดสาวกผู้ชื่นชอบความหฤหรรษ์ 10,000-30,000 คนให้เดินทางมาเกาะพะงันทุกเดือน!


เมื่อพระจันทร์เต็มดวง ค่อยๆ เคลื่อนตัวปรากฏขึ้นเหนือหาดริ้น เหล่าฝูงชนก็จะเริ่มทยอยพากันออกมาที่หาดทรายสีขาวและปลุกให้ชายหาดรูปวงเดือนมีชีวิตชีวาด้วยการวาดลีลาเท้าไฟตลอดทั้งคืน นอกจากนี้ บนชายหาดยังมีบาร์ตั้งเรียงรายอยู่หลายแห่ง รวมถึงมีดีเจมากหน้าหลายตาคอยเปิดเพลงหลากหลายแนวให้ได้ฟังกัน ทั้งเทคโน แทรนซ์   ฮิพฮอพ เร็กเก้ และอื่นๆ อีกเหลือคณานับ
งานฟูลมูนปาร์ตี้ ซึ่งจัดขึ้นทุกเดือนบนเกาะพงันได้กลายเป็นจุดสังสรรค์ให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเอเชีย ถึงขนาดที่ว่าแทบทุกคนวางแผนจะมาสนุกสุดเหวี่ยงบนชายหาดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งเหล่านักเดินทางจากทั่วโลกต่างร่วมกันดื่ม กิน และเต้นจนถึงโต้รุ่ง ในช่วงไม่กีปีที่ผ่านมา ปาร์ตี้ดูจะอลังการมากยิ่งขึ้น โดยมีบรรยากาศละม้ายคล้ายงานคาร์นิวาล พร้อมด้วยการแสดงต่างๆ เช่น การกลืนไฟ การเล่นโยนของ และแน่นอนว่าที่พลาดไม่ได้ คือ การจุดพลุไฟแบบไม่ให้ตั้งตัว งานเลี้ยงเลิกราเมื่อพระอาทิตย์เริ่มฉายแสง และใครก็ตามที่ยังครองสติได้โดยไม่สลบเหมือดอยู่บนชายหาด ก็จะค่อยๆ ประคองร่างกายกลับไปนอนบนเตียงเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่และรีชาร์จแบตเตอรี่ให้พร้อมสำหรับพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป 

หากคุณเข้าพักในโรงแรมบนหาดริ้น หรือเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่มาจากเกาะสมุยเพื่อร่วมปาร์ตี้โดยเฉพาะ งานนี้ขอ บอกว่าไม่ต้องเสียค่าเข้า แต่ถ้าคุณเลือกพักที่ทำเลอื่นๆ บนเกาะ ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายราว 100-200 บาทต่อคน ซึ่งคาดว่าเงินจำนวนนี้น่าจะนำไปใช้สำหรับการทำความสะอาดชายหาดหลังจากงานจบลง ตามปกติแล้ว ฟูลมูนปาร์ตี้เหมาะสำหรับหนุ่มสาวอายุประมาณ 20-30 ปี อาจเป็นคนที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย หรือผู้ที่พักร้อนจากการเริ่มทำงานใหม่ และเมื่อมางานปาร์ตี้ทั้งที ก็เป็นเรื่องแน่อยู่แล้วที่ต้องมีเครื่องดื่มมากมายรอท่าอยู่เต็มชายหาด แถมสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการสังสรรค์แบบไทยๆ ก็คงหนีไม่พ้นเบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง และแสงโสม รวมไปจนถึงน้ำผลไม้และเครื่องดื่มชูกำลัง ขณะที่อาหารก็มีให้เลือกรับประทานหลากหลายชนิด ตั้งแต่จานเด็ดตำรับไทยไปจนถึงพิซซ่าถาดใหญ่ งานฟูลมูนปาร์ตี้จัดติดต่อกันมากว่า 20 ปีแล้ว และตราบใดที่ท้องฟ้ายังคงประดับด้วยจันทรา และชายหาดยังไม่สิ้นหาดทราย ก็ดูเหมือนว่านักท่องเที่ยวจะแห่กันมาที่เกาะพะงันอยู่ไม่ขาดสายเพื่อดื่มกิน แดนซ์กระจาย และสัมผัสกับความสนุกสนานของค่ำคืนยามพระจันทร์เต็มดวงเหนือท้องฟ้าเมืองไทย 

บทความดีๆ และสาระน่ารู้จาก Agoda.co.th 


ฟูลมูนปาร์ตี้มีต้นกําเนิดมาไม่ยาวนาน  ไม่ถึงขนาดเรียกว่าเป็นตํานานซักทีเดียว  เป็นเพียงคําเ่ล่าขานซึ่งอาจจะแตกต่างกันในเรื่องราวรายละเอียดแต่โดยภาพรวมถือว่าไม่แตกต่างกันมากนัก 
 เล่ากันว่าราวปี 2530   ได้มีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง  บ้างก็ว่า เป็นฝรั่งตะวันตกได้เข้ามาท่องเที่ยวที่หาดริ้นนอก  ทั้งคู่ประทับใจกับภาพความสวยสดงดงามของดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่ส่องแสงเปล่งประกายไปทั่วทั้งท้องทะเล  ด้วยเหตุนี้จึงนําเรื่องราวความประทับใจไปเขียนลงในนิตยาสารต่างประเทศ  จนกลายเป็นที่มาของบทเริ่มต้นงานฟูลมูนปาร์ตี้
และเมื่อใดที่ดวงจันทร์ได้โผล่พ้นขึ้นจากขอบฟ้าเมื่อไร  เวลาแห่งการปลดปล่อย  ฟูลมูนปาร์ตี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว  ท่ามกลางเสียงดนตรีที่อื้ออึง  พลันเกิดความสามารถดีดดิ้น เต้นแร้ง เต้นกาได้ตลอดแนวชายหาด เป็นช่วงชีวิตที่อิสระเสรีจริง ๆ  คละเคล้าไปด้วยเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์หลากหลายชนิดนี่คือ  จิตวิญญานของงานฟูลมูนปาร์ตี้ีที่ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นจริง ๆ  จากคืนพระจันทร์เต็มดวงไปจนถึงเช้าของวันใหม่ คุุณก็จะเห็นผู้คนมากมายนอนหมดสภาพเกลื่อนกลาดเต็มชายหาด  ใครยังมีเรี่ยวแรงเหลือก็ใฝ่หาอิสระเสรีให้กับชีวิตตัวเองต่อไป

อีกบทความเล่าว่า..

งานฉลองมีจุดเริ่มต้นมาจากการจัดงานเลี้ยงส่งขอบคุณให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวประมาณ 20-30 คนเมื่อ พ.ศ. 2528 ที่ดิสโกเทคซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดนัก ต่อมาฟูลมูนปาร์ตี้ก็เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วจากการบอกต่อกันไปปากต่อปาก จนกระทั่งปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมถึง 20,000-30,000 คนต่อครั้ง บาร์ทุกร้านที่อยู่บนชายหาดของหาดริ้นจะยังคงเปิดอยู่และเล่นเพลงประเภทอาร์แอนด์บี เฮ้าท์ และเร็กเก้ หลังจากพระอาทิตย์ตก และงานฉลองจะจัดต่อเนื่องไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นของวันใหม่
ฟูลมูนปาร์ตี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวจำนวนมากในเอเซีย การเข้าร่วมงานนั้นไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในพื้นที่ได้พยายามที่จะเพิ่มความถี่ของงานฉลอง เช่นจัดในคืนที่พระจันทร์ครึ่งดวง (Half Moon Party) หรือในคืนเดือนมืด (Black Moon Party) อีกด้วย
ฟูลมูนปาร์ตี้เคยเป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง "Last Stop Paul "และมีเนื้อหาส่วนหนึ่งในภาพยนต์ไทยเรื่อง "ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น"
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

มีผู้คนให้ความสนใจมาร่วมสนุกใน ฟูลมูน ปาร์ตี้ ของเกาะพงันในแต่ละเดือนประมาณ 10,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ในฟูลมูน ปาร์ตี้นั่นจะมีดีเจมากมายหลากหลายทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างชาติ ต่างให้ความสนใจและมาร่วมสร้างสีสันให้งานในค่ำคืนนี้ สนุก มันส์ อย่างสุดเหวี่ยง และมีทั้งคนที่เพนท์ตัวเองด้วยสียูวีที่เรืองแสง สนุก บ้า หลุดโลก ในงานจะมีการเปิดเพลงทุก ๆ แนว เพื่อเพิ่มสีสันและตอบสนองแก่นักเที่ยวทุกรสนิยม บริเวณชายหาดจะมีโต๊ะ เก้าอี้เล็กๆวางไว้ให้คุณและเพื่อนๆได้นั่งพบปะสังสรรค์กัน หรือบางคนอาจจะสนุกกับการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ๆ ส่วนอาหารและเครื่องดื่มนั่นก็มีบริการให้คุณอย่างมากมายจากร้านที่อยู่ใกล้ๆบริเวณชายหาด 
สถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้  ตั้งอยู่บริเวณทางทิศใต้ของเกาะพงัน นั่นก็คือ หาดริ้น ซึ่งเป็นหาดที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันเป็นอย่างดี    
ที่พัก  โดยเฉลี่ยแล้วที่หาดริ้นมีที่พักไว้รองรับแขกผู้มาเยือนประมาณ 3,000 เตียง แต่เชื่อหรือไม่ ว่านั่นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะเดินทางไปร่วมงานปาร์ตี้ คุณควรสอบถามและจองที่พักให้เรียบร้อยก่อนการเดินทางไปยังเกาะพงัน และหากคุณไม่ได้พักที่หาดริ้นคุณก็สามารถเรียกใช้บริการรถแท๊กซี่ เพื่อที่จะได้นำคุณมาส่งที่งานปาร์ตี้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วที่พักบนเกาะพงันมีหลายประเภท โดยการจองห้องพักส่วนใหญ่จะพักกันประมาณ 3 ถึง 4 วัน เพื่อพักในช่วงระหว่างที่มีงานปาร์ตี้ คือจะมาพักก่อนถึงวันงาน 2 หรือ 3 วัน

"เก็บรูปตอนเราและเพื่อน ๆ ไปเที่ยวมาฝากด้วยจ้า"
มีเต้นท์สําหรับนอนพักฟรีสําหรับนักท่องเที่ยวที่หมดสภาพ ไม่มีประสิทธิภาพที่จะเต้นแร้งเต้นกาได้อีกต่อไป
 หรือจะมานอนพักเอาแรงเพียงชั่วคราว เพื่อกลับไปแข่งขันกะเพื่อนต่อกันก็ได้นะ ทางนี้เค้ามีเจ้าหน้าที่คอยบริการดูแลเราระหว่างนอนพักผ่อนในเต้นท์หลบภัย ด้วยอารมณ์ที่สุนทรีสุด ๆ
  
งานนี้ต้องเพ้นท์สีซะหน่อยไม่งั้นจะขาดองค์ประกอบ


จู-มู๊ฟ ๆ มีความสุขกันสุด ๆ ไปเร้ยยยย!!!!

มีร้านเพ้นท์ตัวมากมาย หลายสีหลายลายราคาเริ่มจาก 50 บาทเป็นต้นไปแล้วแต่ลาย
แต่วันนั้นเราจัดการซื้อสีโปสเตอร์และพู่กันมาเพ้นท์กันเองประหยัดเงินไปได้เยอะ
อุปกรณ์เสริมอีกชนิด ซึ่งสร้างสีสันให้นักท่องเที่ยว เครื่องประดับต่าง ๆ ที่สีสันแสบตาและเรืองแสงมีตั้งแต่แว่นตาสร้อยคอ สร้อยข้อมือ หมวก คาดผมต่าง ๆ น่ารักดีค่ะ 


อีกมุมหนึ่งของเวทีคนเก่งซึ่งมีให้เลือกขึ้นไปโชว์ความสามารถ สะบัดก้นสะบัดเอวแข่งกัน

เต็มที่กันสุด ๆ บอกแล้วงานนี้คือ การได้ปลดปล่อย อิสระเสรีกันเต็มรูปแบบ

เสื้อผ้าหน้าผม ไม่ต้องรัยมากเลย เสื้อกล้าม ใส่เดียวเกาะอก ขาสั้น-กระโปรง รองเท้าแตะ สําหรับผุ้หญิงใจกล้าก้อนี่เลยบิกินี่ แต่ขอแน่ะนําว่าสาวไทยน่ารักน่าถนุถนอม ควรใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมหน่อยน๊ะ โป๊ะเกินก้อไม่ดี เดี๋ยวจะไม่งามเสื้อกล้ามขาสั้นก้อดูน่ารักแล้ว อืม..แถมหมวกเก๋ ๆ ซักใบก้อเพิ่มความน่ารักได้อีกด้วยน๊า

และนี่คือวิธีการปลดปล่อย (ปลดทุกข์) อีกรูปแบบ สําหรับบางท่านที่ไม่สามารถเดินฝ่าดงผู้คนมากมายเพื่อที่จะไปหาห้องนํ้าซักแห่ง  ราคาห้องนํ้าต่อครั้ง ก้อจะเริ่มตั้งแต่ 10 - 20  แล้วแต่ แต่ละที่

มีการโชว์การละเล่นต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น กระบองไฟ เชือกไฟ พ่นไฟ เพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้าของร้านค้าต่าง ๆ  ที่งานปาร์ตี้ แต่ก้อมีนะ ที่ใครที่มีความสามารถ ก็จะออกมาโชว์กัน สร้างความตื่นเต้นและความสนุกสนานไปอีกแบบค่ะ

"เครื่องดื่มชูพลัง"  มีขายตามหาดเป็นแนวยาวตลอดงานปาร์ตี้
ราคาเริ่มตั้งแต่ 150 บาทไปจนถึง 700 บาทต่อถัง แล้วแต่ชนิดของวิสกี้ที่เอามาผสม 
นี่เป็นเหตุการณ์หลังจากดื่มเกินขนาด  ฉะนั้น.. เพื่อน ๆ คงจะรู้นะคะว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราดื่มเยอะไป ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ เพื่อน ๆ  

ข้อควรระวัง สําหรับเพื่อน ๆ  

- ไม่ควรพกของมีค่าติดตัวไป นอกจากสตางค์ และบัตรประชาชน ถ้าพกกระเป๋าสตางค์ก้อควรระวังด้วยเพราะมิจฉาชีพที่แฝงมาให้คราบนักท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน
- กรุณาเก็บตั๋วเรือให้ดี (สําหรับผู้ที่ไม่ได้พักบนเกาะพงัน) ไม่งั้นอาจทําให้คุณเสียเวลา และเสียเงินนไปกับการต้องซื้อตั๋วใหม่เพิ่มอีกนะจ๊ะ
- อย่าดื่มเครื่องดื่มของคนแปลกหน้าเป็นอันขาด เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าประสงค์ดี รึร้ายกับเรากันแน่  ต้องมันส์แบบระวังนะค่ะ จะได้เที่ยวอย่างปลอดภัยไงคะเพื่อน ๆ

การเดินทางสามารถข้ามจากฝั่งดอนสัก-พงัน หรือ ดอนสักสมุย ติดต่อสอบถามเวลาเดินเรือและราคาได้ที่..
- ซีทรานเฟอร์รี่ดอนสัก           077-251555       , 0 77-25 1150-2 
-  ซีทรานเฟอร์รี่เกาะสมุย โทร: 0 7742 6000 – 1 
-
- ราชาเฟอร์รี่ดอนสัก โทร: (66 77) 471 206-8  
-  ราชาเฟอรรี่เกาะสมุย โทร: (66 77) 415 230-3



วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติของวันวาเลนไทน์


           ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวคริสต์ นั่นก็คือ วันวาเลนไทน์ นั่นเอง วันวาเลนไทน์ หรือ วันนักบุญวาเลนไทน์ หรือที่รู้จักกันว่า วันแห่งความรัก นั้น เป็นวันที่คู่รักจะบอกความในใจของกันและกัน อาจจะโดยการส่งการ์ด, มอบดอกไม้ หรือพากันไปท่องเที่ยวในสถานที่หวานแหววโรแมนติคสุดประทับใจ สำหรับในประเทศไทยเอง เทศกาลแห่งความรักนี้ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย ไม่ว่าจะในหมู่ชาวคริสต์ หรือชาวพุทธก็ตาม
นักบุญวาเลนไทน์
              สำหรับประวัติวันวาเลนไทน์นั้น หลาย ๆ คนคงสงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เหตุเป็นเพราะวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้น เป็นวันเสียชีวิตของนักบุญวาเลนไทน์ หรือเซนต์วาเลนไทน์ นักบุญแห่งความรักนั่นเอง นักบุญวาเลนไทน์ เป็นผู้ริเริ่มการจัดงานแต่งงานในยุคที่ไม่นิยมให้แต่งงานกัน เหตุเพราะในช่วงนั้น โรม ต้องประสบกับสงคราม จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่มีบุคคลจำนวนมากที่มีครอบครัว มีภรรยา มีคนรัก ต่างไม่อยากจะทิ้งครอบครัวไป ทำให้ จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ตัดสินใจให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นไปหมด อย่างสิ้นเชิง

              แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และในคุกที่คุมขังนักบุญวาเลนไทน์นั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดนางหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ นักบุญวาเลนไทน์จึงถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็น วันวาเลนไทน์ วันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง



 สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์

               สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม)  
          


                ตำนานความรักของ เทพเจ้าคิวปิด นั้น ในอดีต เทพเจ้าวีนัสอิจฉา "ไซกี" ธิดาวัยกำลังแรกรุ่นของกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่สำคัญคือไซกีสวยกว่าเทพเจ้าวีนัสมาก นางเลยส่งเทพเจ้าคิวปิดไปหาไซกี เพื่อบันดาลให้ไซกีมีความรักกับบุรุษเพศ แต่เทพเจ้าคิวปิดกลับหลงรักไซกีและพามาที่วัง และลอบมาหาในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้ไซกีรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่มีคนยุให้ไซกีแอบดูตอนเทพเจ้าคิวปิดนอนหลับ แต่ด้วยความตื่นเต้นของไซกีที่เห็นเทพเจ้าคิวปิดเป็นหนุ่มรูปงาม เลยเผลอทำน้ำมันตะเกียงหกใส่เทพเจ้าคิวปิด เมื่อเทพเจ้าคิวปิดรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็โกรธมากที่นางขัดคำสั่ง จึงทิ้งนางไป

         


               เมื่อโดนทิ้ง ไซกีก็ออกตามหาเทพเจ้าคิวปิด ซึ่งตลอดเวลาไซกีถูกเทพเจ้าวีนัสกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จนเทพเจ้าคิวปิดเห็นใจต้องเข้ามาช่วย เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจ จึงช่วยให้ทั้งสองได้ครองรักกัน


ธรรมเนียมที่ถือปฏิบััติกันในวันวาเลนไทน์

            หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า " Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine --- Two before and three behind. Good morning to you, Valentine."

            ในประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart) 


            เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบ แล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อ เพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่ง สัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คนๆ นั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร 


           ในบางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับเขา


            บางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี 


            ในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S) ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป 


             บางธรรมเนียมในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหกชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ล ได้หมดพอดี 

            ในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้